ธรรมมะส่องใจ

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553





"ฉันชอบอยู่บ้านคนเดียว ชอบดูทีวีคนเดียว กินข้าวคนเดียว หรือแม้กระทั่งไปดูหนัง เดินเล่นคนเดียวในวันหยุด"
ถ้าเป็นคุณ คุณคิดว่าพฤติกรรมของสาวคนนี้ดูขมขื่นไปมั้ย หากคำตอบ คือ ใช่ เราขอให้คุณเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะการอยู๋คนเดียว ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นคนที่มีปัญหา ไม่มีคนคบ แต่นั่นอาจเป็นวิธีสำหรับคนฉลาดในการรู้จักให้เวลากับตัวเองก็ได้


"การอยู่คนเดียว"
ในที่นี่ ไม่ได้หมายรวมถึงว่า คุณต้องปฏิเสธการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นถือเป็นด้านหนึ่งที่สำคัญของชีวิต ขณะที่เราต้องรู้จักสร้างสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคุณต้องรู้จักให้เวลากับตัวเองบ้าง



1. เพื่อค้นพบตัวเอง



การ ใช้เวลาอยู่กับตัวเองทำให้คุณมีเวลาพอที่จะค้นหาตัวตน และเข้าใจความเป็นตัวคุณมากที่สุด บางครั้งคนเรามัวแต่ชื่นชมกับศาสตร์ที่พยายามจะเข้าใจคนอื่น แต่ลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ การเข้าใจตัวเองต่างหาก รู้ว่าจริงๆ แล้วเราชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยปราศจากอิทธิพลจากภายนอกมาเกี่ยวข้อง



2. เพิ่มความนับถือในตัวเอง



การ อยู่คนเดียวเป็นการเพิ่มอิสระให้กับตัวคุณ รวมทั้งยิ่งถ้าคุณได้ใช้ความเป็นตัวคุณเลือกและตัดสินใจอะไรด้วยแล้ว จะยิ่งเป็นการเพิ่มความมั่นใจในตัวคุณไปอีก ซึ่งมันจะค่อยแทรกซึมไปสู่การใช้ชีวิตด้านอื่นๆของคุณด้วย โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น



3.บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้การประนีประนอม



บ่อย ครั้งที่คนเราพยายามใช้ความประนีประนอมเมื่อต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น เรามักจะอดทนทำงานร่วมกับคนอื่นเพื่อให้บรรลุข้อตกลงหรือเป้าหมายใดๆ แทนการใช้เวลานั่งกินอาหารค่ำพร้อมดูรายการทีวีสุดโปรด เพราะบางครั้ง การใช้เวลากับตัวเองก็เหมือนการปล่อยให้เราได้ตามใจตัวเอง ทำในสิ่งที่ต้องการ หรือสิ่งที่เรารักโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ



4.ทำให้ตัวเองกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง



จะ มีซักวัยมั้ยที่คุณเลือกหลบหนีจากผู้คน เพื่อปลดปล่อยความเป็นตัวุณ ทิ้งความเครียดไว้เบื้องหลัง แล้วพักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วงเวลานั้นเหมือนเป็นการ รีสตาร์ท เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวคุณได้เข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ซึ่งบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่คนอื่นต่อต้าน



5.มีมุมมองที่สดใส



การ อยู่กับตัวเองทำให้คุณมีเวลาที่จะชำระล้างจิตใจ สลัดความคิดทั้งปวง และเป็นการเปิดให้เห็นความรู้สึกที่มาจากใจของคุณ โดยปราศจากอิทธิพลของคนอื่น เป็นช่วงเวลาที่คุณจะได้สะท้อนดูว่าอะไรรคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตของคุณ และจริงๆ แล้วคุณรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ในชีวิตประวันที่คุณต้องเผชิญเป็นประจำ



6. เห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณรักมากขึ้น



การ อยู่คนเดียวเป็นการปลดปล่อยตัวคุณให้มีช่วงเวลาที่จะได้ซาบซึ้งกับช่วงเวลา ที่ได้อยู่กับคนอื่น ยิ่งถ้าคุณไม่เคยมีเวลาที่อยู่กับตัวเอง คุณย่อมปรารถนามัน ซึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องหาสมดุลระหว่างมันให้ได้ เพราะหากคุณสามารถทำได้ คุณจะมีความสุขกับการมีความสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น



ใครที่ อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วพบว่าการใช้เวลาอยู่กับตัวเองเป็นเรื่องที่ยากและท้าทาย แนะนำให้คุณเริ่มจากการใช้เวลาอยู่กับตัวเองวันละเล็กวันละน้อย เริ่มจากวันละ 1 นาทีจนเป็นชั่วโมง และหลังจากรฝึกฝนไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่ามันจะมาเองตามธรรมชาติในที่สุด

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคมองโลกในแง่ดี ....


..คนไทยสมัยนี้เครียดกันง่ายจัง วันๆ หนึ่งต้องพบกับความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ กังวลใจ กันหลายๆ ครั้ง ไม่ เหมือนกับคนไทยสมัยโบราณที่กว่าจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้ โน่น..ต้องมีเสือบุกเข้ามากินวัว โจรบุกเข้ามาปล้น ถึงจะเกิดความเครียดกันทีหนึ่ง เรียกว่าวันๆ หนึ่งแทบจะไม่รู้จักความเครียดกันเลย ใบหน้าคนไทยสมัยก่อนจึงมีแต่รอยยิ้ม พวกฝรั่งซึ่งเป็นคนมาจากวัฒนธรรมอื่นมาเห็นเข้าพากันแปลกใจว่าทำไมคนไทย อารมณ์ดีกันจัง ก็เลยตั้งชื่อว่าให้ว่า "สยามเมืองยิ้ม"

นอก จากนี้คนไทยยังมีวิธีคิดที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา ให้รู้จักคิดปล่อยวาง คิดให้สบายใจ ในยามที่ต้องพบกับปัญหาหนักๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือร่องรอยวิธีคิดเหล่านี้อยู่ในนิสัยคนไทยทั่วๆ ไปบ้าง แต่บางคนก็ลืมไปแล้ว หรือคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก วันนี้เครือข่ายฯจึงขอนำวิธีคิดเหล่านี้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็นพุทธ และ ให้มีความทันสมัย เหมาะกับคนยุคปัจจุบันมากขึ้น นำเสนอเป็นเทคนิควิธีคิดมองโลกในแง่ดีสำหรับคนยุคไอที ดังต่อไปนี้

ยามพบอุปสรรคในการทำงาน
ไม่ เป็นไร..เอาใหม่ : คำพูดนี้สำคัญมากครับ เอาไว้ใช้อุทาน เวลาท่านต้องประสบกับปัญหาความล้มเหลวในการทำงานหรือ เจอข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน หรือ เวลาเพื่อนร่วมงานทำงานผิดพลาด คำพูดนี้จะเป็นเครื่องปลอบใจและให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นคำที่ทำให้จิตใจปล่อยวางจากปัญหา ไม่ถูกบีบคั้นจากปัญหา คำว่า "เอาใหม่" เป็น คำพูดที่ปลุกคุณธรรมข้อ "วิริยะ" แปลว่า เพียรสู้งาน ปลุกใจให้เราคิดสู้ปัญหา ไม่ท้อถอย

ยามพบกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่พึงปรารถนา
โชคดีนะเนี่ย : ไม่ว่าคุณเจอะเจอกับความทุกข์กายทุกข์ใจอะไรในชีวิตประจำวัน ให้คิดเสียว่าสิ่งเลวร้ายที่เราต้องประสบทุกๆ ครั้ง มันไม่ได้ร้ายกาจจนถึงที่สุดแม้สักอย่างเดียว มันเป็นความ"โชคดี"ของเราจริงๆ ที่ไม่เจอหนักกว่านี้

ยกตัวอย่าง
เดินหัวชนเสาหัวปูด อุทานว่า "อูย ! ..โชคดีนะเรา หัวยังไม่แตก"
โดนตัดเงินเดือน พูดกับตัวเองว่า "เขาไม่ไล่เราออก ก็บุญแล้ว ถือว่ายังโชคดีนะเนี่ย"
ทำกาแฟร้อนๆ หกรดขากางเกง พูดกับตัวเองว่า "เหอ..ๆ โชคดี ที่มันไม่หกรดเป้ากางเกงเรา"

ยามมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เขา ยังดีนะ : เวลาคุณมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ เช่นเพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน ฯลฯ เช่น บางคนอาจจะทำงานไม่ถูกใจ บางคนอาจจะทำอะไรผิดใจคุณ หรือ บางคนอาจจะมีเจตนาไม่ดีกับคุณ ให้คิดเช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันก็ยัง ไม่ได้ร้ายกาจถึงที่สุดกับคุณแต่อย่างใด มันยังมีแง่ดีๆ ให้เราคิดถึงเขาอยู่เสมอ

ยกตัวอย่าง
คนข้างบ้านนินทาเรา เราก็บอกกับตัวเองว่า โอ้... นี่เขายังดีนะที่ไม่ถึงกับมาดักทำร้ายเรา
มีคนมาขโมยปากกาที่โต๊ะทำงานเราไป เราก็คิดว่า เจ้าขโมยนี่ยังดี ที่ไม่ยกเครื่องคอมพ์เราไป
สาวหักอก เราก็คิดว่า เธอยังดีนะเนี่ย ที่ไม่ควงคู่แข่งมาเย้ยเราให้เจ็บใจหนักไปกว่านี้
เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เราก็คิดว่า เขาก็ยังดีที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีเราข้างหลัง

เทคนิคคิดเมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
เอ๊ะ...! ตรงนี้เราได้อะไร : เป็นการตั้งคำถามเพื่อให้จิตตั้งแง่คิดเพื่อมุ่งหาความรู้ทันทีที่ได้พบกับ ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น นาย ก. เดินตกท่อ ขาแข้งถลอก นาย ก. ทั้งๆ ที่เจ็บปวด กลับตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า เราเดินตกท่อตรงนี้ เราได้อะไร ! เท่านั้นเองคำตอบต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมามากมาย อาทิเช่น
. เราได้ดูแลรักษาตัวเองอีกแล้วดีจัง ไม่ได้ดูแลตัวเองมานาน
. เราได้บทเรียนซาบซึ้งกับคำว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
(เคยเดินมาดีๆ ทุกวัน วันนี้ใครกันดันมาเปิดฝาท่อ)
. มันทำให้เราได้ไอเดียเกี่ยวการทาแถบสีสะท้อนแสงตรงขอบท่อ เพื่อคนจะได้สังเกตเห็นได้แต่ไกลๆ
วิธี คิดเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกเลยว่า ชีวิตนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย คือ แม้ว่าเราจะพบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักตั้งคำถามเช่นนี้เป็นนิสัย เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ มากมายจนบางครั้งเราอาจจะต้องนึกขอบคุณที่ได้เจอกับปัญหาบ่อยๆ เลยทีเดียว ................




http://variety.teenee.com/saladharm/27666.html

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความสุขที่หายไป...


หากรู้จักมองชีวิตให้ครบทุกด้าน กาลเวลาที่เราสมมุติว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ย่อมเป็นครูสอนชีวิตให้มีคุณค่าและสามารถฟ้องอนาคตข้างหน้าว่า จะเป็นเช่นไรได้ด้วยภาวะที่ลงตัว


คนเรามักมีภาพของความรู้สึกดีๆ ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของตัวเองเสมอ อาจเป็นความรู้สึกพึงใจที่เล็กๆ กระทั่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่เคยสัมผัส แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใด แต่ความทรงจำนั้นก็ไม่มีวันเลือนหายไปจากใจซึ่งถูกเก็บไว้ในอดีตของวันวาน


ทว่าอดีตก็เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้ายเพียง ใด ก็ชื่อว่าเป็นประสบการณ์ที่ชีวิตได้ล่วงเลยผ่านมา แต่คนเรากลับชอบที่จะรื้อฟื้นความทรงจำเหล่านั้นเสมอ จึงเกิดภาพซ้อนที่ทำให้ติดอยู่ในความทรงจำทั้งเรื่องที่ดีและร้ายคละเคล้ากันเรื่อยมา


บ้างก็คิดถึงสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดี บ้างก็จมอยู่กับความหมองเศร้าที่ไม่รู้ว่าจะให้สลายไปจากใจได้อย่างไร อดีตจึงมีอิทธิพลสำหรับคนที่รู้เท่าไม่ทัน ทำให้เจ้าของชีวิตต้องจมอยู่กับความรู้สึกนั้น


แต่ปราชญ์ทั้งหลายกลับเชิญชวนให้คนเราหันกลับมาทำความเข้าชีวิตในปัจจุบันเป็นหลัก เพื่อให้มีเวลาทำความรู้จักกับความจริงที่มี และเข้าใจภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทัน โดยไม่ยึดติดกับภาพเดิมๆที่มีอยู่อีกต่อไป เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ส่วนอนาคตก็เป็นภาวะที่ไปยังไม่ถึง ทุกความคิดและการกระทำจึงควรยุติอยู่ที่ปัจจุบันเป็นสำคัญ


แต่ใช่ว่าความทรงจำที่ผ่านมาจะเลวร้ายเสียทีเดียว เพราะถ้ารู้จักใช้อดีตที่ผ่านมาเป็นครูสอนชีวิตให้ฉลาดขึ้น อดีตนั้นก็สามารถก่อเป็นความงามได้เช่นกัน เพราะเมื่อไม่สามารถลบล้างอดีตได้ เราก็ควรเรียนรู้ชีวิตผ่านอดีตนั้น โดยใช้เป็นอุปกรณ์ในการสอนปัจจุบันที่ประสบอยู่แต่ละขณะให้ดีขึ้น เป็นการใช้ปัจจุบันเป็นตัวการแก้ไขข้อบกพร่องในวันวานที่ผ่านมา เพื่อให้ความทรงจำเหล่านั้นมีชีวิตจริงขึ้นมาได้


ถ้าอดีตที่ผ่านมาเป็นความทรงจำที่เลวร้าย อาจจะเกิดจากความคิดและการกระทำที่ไม่เป็นดังใจหวัง เราก็ใช้ปัจจุบันที่มีแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้เป็นความถูกต้อง


หากเป็นอดีตที่ดีงามในความทรงจำ ทุกอย่างที่ผ่านมาช่างก่อ ให้เกิดคุณค่าต่อชีวีที่มีอยู่ ก็ให้เอาอดีตเหล่านั้นมาสอนปัจจุบันให้รู้จักต่อยอดสิ่งที่ดีนั้นไว้ มิใช่ทิ้งขว้างให้จากไปโดยไม่รู้จักใส่ใจ


เพราะหลายครั้งจะเห็นได้ว่าคนเราเวลาทำอะไรในปัจจุบันที่ขาดหลัก และหลงลืมอดีตที่ดีงามของตน สุดท้ายเส้นทางสายใหม่ที่คิดว่าจะไฉไลกว่าเดิม ก็เต็มไปด้วยขวากหนามที่คอยทิ่มแทงให้เจ็บตัวอยู่เรื่อยมา


" ความสุขที่หายไปในชีวิตเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา


เราตามเก็บรายละเอียดเหล่านั้นคืนได้หรือยังในปัจจุบัน ?..."


ดังนั้น เมื่อปรารถนาให้ความสุขกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เราจึงต้องเรียนรู้การตามเก็บความสุขด้วยความเข้าใจ ใส่ใจในรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะมองความสุขให้รอบด้านด้วยปัญญาที่มาจากความเข้าใจ


เพราะหากรู้จักมองชีวิตให้ครบทุกด้าน กาลเวลาที่เราสมมุติว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบันย่อมเป็นครูสอนชีวิตให้มีคุณค่า และฟ้องอนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นเช่นไรได้ด้วยภาวะที่ลงตัว


อดีตที่เลวร้ายหากไม่ได้รับการแก้ไข ย่อมฟ้องปัจจุบันว่าจะประสบกับความหมองเศร้าทวีคูณ
ปัจจุบันที่ไร้ค่า ย่อมฟ้องความไร้ค่าในอนาคตเช่นกัน


อดีตที่สวยงามย่อมต่อยอดเป็นความดีได้ในปัจจุบัน
ปัจจุบันที่เปี่ยมด้วยคุณค่าแห่งชีวี ย่อมเป็นอาภรณ์ฟ้องอนาคตที่จะพึงมีให้งดงามตลอดไป


ด้วยเหตุนี้แม้กาลเวลาจะดำรงอยู่บนความไม่แน่นอนของชีวิตเพียงใด แต่เราก็สามารถที่จะเลือกได้ว่า ...


จะให้ชีวิตที่ผ่านมาเป็นครูสอนอะไร ?
จะทำปัจจุบันที่มีอยู่ส่งต่อไปสู่อนาคตอย่างไร ?
ความสุขที่หายไปจึงจะกลับคืนมาสู่ชีวิตของเราด้วยความลงตัว...*


"You can't change the past but you can change the future into a better past!!!"

"คุณไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนอดีตได้ แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนได้คืออนาคตเพื่อที่จะเป็นอดีตที่ดีกว่า"

"คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา"



ระหว่าง "คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา" เราควรจะเลือกใครดี

คนที่เรารัก.....คือคนที่ใช่สำหรับเรา

แต่บางครั้ง.....เรากลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่

คนที่เรารัก.....คือคนที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี

แต่แท้จริงแล้ว....เรากลับไม่รู้จักเขาเลย

คนที่เรารัก......คือคนที่เราพร้อมจะเป็นผู้ให้

แต่สิ่งที่เราให้.....เขากลับไม่เคยมองเห็นสิ่งที่เราให้ไป

คนที่เรารัก........คือคนที่เราอยู่ด้วยเวลามีความสุข

แต่เวลาเราทุกข์.....เรากลับมองหาเขาไม่เจอ

คนที่เรารัก....คือคนที่เราใส่ใจทุกเวลา

แต่ที่แย่กว่าคือ.....ตลอดมาเขาไม่ได้ "รักเรา"

…………………………………………………………….

คนที่รักเรา.......คือคนที่เราเพียงมองผ่าน

แต่เขา.....กลับมองเราอย่างใส่ใจ

คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่พยายามทำความรู้จัก

แต่เขา.....กลับพยายามทำความรู้จักเรา

คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยให้ความสำคัญมากมาย

แต่เขา.....กลับให้ในสิ่งที่ล้วนมีค่ามีความสำคัญกับเรา

คนที่รักเรา......คือคนที่เราไม่เคยเห็นหน้าเวลาสุข

แต่เวลาทุกข์......เขากลับเป็นเหมือนเงาคอยเฝ้าตาม

คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยนึกถึง

แต่มีสิ่งหนึ่ง.....บอกให้รู้ว่า......"เขารักเรา"


http://variety.teenee.com/foodforbrain/27353.html

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กำลังใจดีๆให้ตัวเอง


.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง

และคนฉลาดที่สุด

ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม

ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่

เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน

อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า

ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร

ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น

ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ

มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา
ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง

แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น

ที่ได้ทำ ..

หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า



http://www.dhammajak.net/dhamma/107.html


วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความผูกพัน



ความผูกพัน หมายถึง การเกาะเกี่ยวกันทางใจด้วยความรักหรือความโกรธเกลียด หรือความหลง ทำให้ปล่อยวางหรือลืมเรืองนั้นเสียไม่ได้ สิ่งนั้นก็จะเกาะติดอยู่ในใจติดตามตัวไปทุกแห่งทุกหน ทำให้หาความผาสุก ความเป็นอิสระไม่ได้ เหมือนขาที่ถูกคล้องไว้ด้วยโซ่ตรวน ย่อมจะหนักและเดินลำบาก การมีความผูกพันกับสิ่งใด คนใด เรื่องใด ก็ไม่ต่างกับการมีโซ่ตรวนล่ามขาอยู่ฉะนั้น การผูกพันกันด้วยความรัก ใช่ว่าจะทำให้เกิดความสุขเสมอไป เมือมีความรักก็ย่อมมีความห่วงใยเป็นธรรมดา อยากให้คนที่ตนรักเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความอยากของคนเราใช่ว่าจะได้ดังที่อยากเสมอไปก็หาไม่ บางครั้งก็ไม่สมอยาก พระพุทธองค์จึงได้ทรงตรัสสอนว่า "ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง แปลว่า ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์" ผูกพันด้วยความโกรธ ความเกลียด โดยไม่ละ ไม่วาง ยังผูกใจเจ็บแค้นกันอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือน เอาโซ่ตรวนล่ามกันไว้เช่นกัน การที่จะอธิษฐานจิตว่า "เกิดชาติใดขออย่าให้ได้พบได้เจอคนอย่างนี้อีกเลย" ก็ คงเป็นเรื่องยาก เพราะใจเราผูกพันกับเขาด้วยความโกรธ ความเกลียด ความชิงชังอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยแกะโซ่ตรวนที่ล่ามติดกับเขาไว้ แล้วจะพ้นจากคนที่เราไม่ชอบได้อย่างไร ตราบใดที่ยังไม่แกะโซ่ตรวนออกก็ต้องตามผจญกรรมกันไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะอธิษฐานอย่างไร ถ้าไม่ชอบใคร ไม่อยากเจอใคร ต้องทำใจไม่ให้นึกถึงคนนั้น เรื่องเกี่ยวกับคนนั้น หรือถ้านึกถึงก็ให้น้อยที่สุด ยิ่งอโหสิกรรมหรือให้อภัยกันเสีย ก็จะมีโอกาสหนีพ้นจากกัน เปรียบเหมือนแกะโซ่ตรวนออกแล้ว ก็ย่อมเป็นอิสระ ไม่ต้องไปเผชิญเวรเผชิญกรรมกันอีกทุกภพทุกชาติ ยิ่งทำดี มีเมตตากรุณากับผู้ที่เราไม่ชอบ ผลแห่กรรมดีที่เรากระทำยิ่งสูงกว่าคนที่เราไม่ชอบเท่าใด ภพ ภูมิก็จะต่างกันเท่านั้น ยิ่งเกลียด ยิ่งไม่อยากเห็นหน้ากัน ก็อย่าฝังใจอยู่ทุกวี่วัน ยิ่งจะดึงเขาเข้ามาหาเรามากขึ้นเท่านั้น จึงต้องตามผจญกันไปทุกชาติ อยากให้พ้นจากใคร ก็จงให้อภัยทาน จะได้หมดเวรหมดกรรมกัน

การผูกพันด้วยความหลง เป็นเรื่องหนักกว่าเพื่อน เพราะผู้ที่มีความหลงก็คือ เห็นสิ่งที่ผิดเป็นถูก เห็นสิ่งที่ไม่งามเป็นสิ่งที่งาม ฯลฯ ที่โบราณเรียกว่า "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" คือเห็นสิ่งที่เป็นอันตราย (กงจักรเป็นอาวุธที่อันตราย) ว่าเป็นของที่น่ารัก น่าบูชา แม้ใครจะบอก ใครจะเตือน ก็ไม่สามารถจะเอาชนะความงมงายหรือความหลงได้ ผู้ที่มีความผูกพันด้วยความหลง จึงจัดเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด จะอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "มดไต่ขอบกระด้ง" หาทางออกไม่ได้ ก็วนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จบ ชีวิตที่มีความผูกพันกับสิ่งใดมากเกินไป ไม่เคยให้ความสุขแก่ผู้ใดเลย รักมากก็ห่วงมาก กลุ้มมาก เกลียดมากก็ร้อนใจมาก จะเห็นว่าล้วนเป็นบ่อเกิดแหงทุกข์ทั้งสิ้น

การเดินสายกลาง อย่าไปผูกพันยึดติดกับสิ่งใด และรู้จักปล่อยวาง จะเป็นหนทางดับทุกข์ได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเราเลี้ยงสุนัข เรารักเขามาก ผูกพันกับเขาเหลือเกิน แต่อายุขัยของสุนัขน้อยกว่าคนมาก จึงมักตายก่อน เจ้าของผู้มีความผูกพันกับสุนัขตัวนั้น ก็จะเศร้าสร้อยไปพักหนึ่งทีเดียว ความรักความปรานีเราจะให้แก่ใครก็ได้ และเป็นสิ่งที่ควรให้ แต่การ ผูกพัน การยึดติดนั้นเป็นเรื่องอันตราย เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่อยากมีทุกข์ ก็อย่ายึดติด หรือผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด รู้จักปล่อยวาง รู้จักหาอิสรภาพให้แก่ตนเอง จะเป็นสุขในที่สุด...